พระเจ้าตาเขียวหนึ่งในพระพุทธรูปที่ อ.ไพศาล แสนไชย นิมิตถึง

พระเจ้าตาเขียววัดบ้านเหล่า หนึ่งในพระพุทธรูปที่ อ.ไพศาล แสนไชย นิมิตถึงว่าพระอินทร์ทรงแปลงร่างเป็น “ชีปะขาว” มาร่วมสร้างรวมไปถึงการเวียนว่ายตายเกิดของผู่ร่วมสร้างที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

พระเจ้าตาเขียววัดบ้านเหล่า หนึ่งในพระพุทธรูปที่ อ.ไพศาล แสนไชย นิมิตถึงและบอกเล่าเรื่องที่มาของพระพุทธรูปขนาดใหญ่ปางนั่งขัดสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 13 ศอก สูง 18 ศอก โดยสร้างครอบ อุโมงค์ที่บรรจุพระเกศาธาตุ (อุโมงค์ดังกล่าวอยู่ใต้พื้นพระพุทธรูปปัจจุบันนี้) เมื่อทำการก่อสร้าง พระพุทธรูปจนถึงพระศอ

 ซึ่งตอนแรกผู้ร่วมก่อสร้างก็มีความคิดเห็นเหมือนกัน แต่เมื่อถึง ส่วนพระพักตร์ของพระพุทธรูป ต่างมีความเห็นต่างกันออกไปว่าจะเอาแบบใด รูปใดต่างไม่มีความลงรอยกัน และยังไม่มีช่างผู้ใดได้ที่จะมาทำพระพักตร์ เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทำได้ยากพอสมควร ความเห็นอัน แตกต่างนี้ได้เข้าไปในวิถีญาณของพระอินทร์ ที่ประทับอยู่ในแดนทิพย์แดนธรรม พระอินทร์ทรง เห็นว่าคงไม่ดีแน่จึงอธิษฐานจิตลงมายังโลกมนุษย์ โดยแปลงร่างเป็น “ชีปะขาว” เดินเข้าไปหา กลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งในขณะนั้นยังไม่มีใครทราบชีปะขาวนี้มาจากไหน เมื่อมาถึงสถานที่ก่อสร้างพระพุทธรูปชีปะขาวจึงอาสาทำพระพักตร์ของพระพุทธรูปองค์นี้ให้เมื่อตกลงกัน เป็นที่เรียบร้อยแล้วชีปะขาวคนนั้นจึงได้ ลงมือทำพระพักตร์เอง เมื่อทำพระพักตร์เสร็จ ปรากฏเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์ที่สวยงาม แต่ยังขาดแก้วในพระเนตรที่จะบรรจุ เป็นพระเนตรของพระพุทธรูปที่สร้างใหม่ ชีปะขาวที่รับอาสาทำพระพักตร์จึงรับอาสาที่จะหาแก้ว มาใส่บรรจุไว้ในพระเนตรในวันรุ่งขึ้นชีปะขาว ก็ได้นำแก้วมรกตสีเขียวทึบ (เป็นแก้วมรกตมณีนิลจากแดนทิพย์ของพระอินทร์) จํานวน 2 ลูกมาบรรจุเป็นนัยน์ตาของพระเนตรของพระพุทธรูปองค์นั้น  เมื่อบรรจุลงไปแล้วดูสดสวยยิ่งนัก สร้างความฉงนสนเทห์แก่บรรดาผู้คนที่ได้พบเห็นเป็นอันมาก และสร้างอุโมงค์ครอบองค์พระพุทธรูปอีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ ประชาชนในแถบนั้นจึงได้ขนานพระนามพระพุทธรูปเป็นภาษาสามัญและพื้นเมืองว่า “พระเจ้าตาเขียว” หรือเรียกตามราชาศัพท์ว่า “พระพุทธปฏิมาพระเนตรเขียว” การสร้างพระพุทธรูปนี้เริ่มสร้างเมื่อเดือนขึ้น 8 ค่ำ พ.ศ. 1235 เสร็จสมบูรณ์ เดือนยี่แรม 5 ค่ำ ปีพ.ศ. 1235 และเมื่อสร้างองค์พระพุทธรูปบรรจุพระเนตร  แก่เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงประชุมตกลงกัน ทำบุญฉลองสมโภชพระพุทธรูป โดยนิมนต์พระเถระทรงคุณวุฒิมาเจริญพระพุทธมนต์ มีพระแม่เจ้าจามเทวี พระเจ้ามหันตยศและพระเจ้าอนันตยศ เป็นประธาน และมีการจุดบ้องไฟขนาดต่างๆ เป็นพุทธบูชาเป็นจํานวนมาก ประมาณได้ 108 กระบอกในระยะต่อมาสถานที่ก่อสร้างพระพุทธรูปเจ้า พระเนตรเขียวจึงได้กลายเป็นวัดขึ้น เรียกว่า “วัดพระเจ้า ตาเขียว” ปรากฏว่าเป็นวัดที่เจริญรุ่งเรืองมากในสมัยนั้น และเจริญต่อมาเป็นกาลอันยาวนาน

อ.ไพศาล แสนไชย ได้นิมิตเรื่องราวต่าง ๆ ไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น นิมิตเรื่องพิเศษเกี่ยวกับสถานที่ หรือนิมิตเกี่ยวกับบุคคลหรือแม้แต่ได้ไปพบ คนที่ตายไปแล้วสั่งเรื่องราวให้กับญาติพี่น้องทําบุญทําทาน วันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2530 ก็ได้นิมิตเรื่องพิเศษ

และสําคัญเรื่องหนึ่งเรื่องนั้นก็คือ “เรื่องพระเจ้าตาเขียว”

ที่เข้าหลักคําสอนของพุทธศาสนาทั้งสิ้น เช่น การเวียนว่ายตายเกิด ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว การสั่งสมบุญทั้งโลกนี้และโลกหน้า การอยู่อย่างคนที่ไม่ประมาทในชีวิต และการเป็นคนมีโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระธรรมคําสั่งสอนของพระพุทธศาสนารับเอา ทาน ศีล ภาวนา มาเป็นที่ยึดถือ และเป็นสรณะของชีวิตมอบกายถวายชีวิตแก่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะ คนเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกเดียว ยังมีโลกหน้าเป็นสิ่งรองรับอีก หากเรายังต้อง เวียนว่ายตายเกิดอยู่ ก็ขอให้อธิฐานเกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระรัตนตรัยและเข้าถึง พระนิพานในกาลข้างหน้า

อ.ไพศาล แสนไชย บันทึกว่างานนิมิตของผมนี้เป็นงานหนัก ไม่มีใครช่วยผมได้ นอกจากช่วยเหลือตัวเอง ซึ่งวาระจิตนี้ท่านครูบาคันธา

คันธาโล และท่านพญา พิงคราช ท่านซาบซึ้งในข้อนี้เป็นอย่างดี และท่านอาวุโสทั้งสองก็อธิฐานจิตส่ง

ผู้ที่จะมาช่วยเหลือหรือร่วมงานนี้เป็นระยะ ๆ ซึ่งมีอยู่หลายสิบคนที่เป็นกําลังสําคัญ

เพื่อให้งานของ “ล่ามเมืองมนุษย์” สําเร็จลุล่วงเป็นขั้นเป็นตอน ด้วยดี มาตลอด

เรื่องพระเจ้าตาเขียว ท้าววนาปกาพรหมได้เล่าต่อไปอีกว่า “ในส่วนตัวของเจ้าแม่จามเทวี ที่ได้รับ เป็นประธานในการ

ก่อสร้างพระพุทธรูป ก็ได้บริจาคก้อนอิฐ(ดินกี่) สําหรับสร้าง ฐานพระและทองปิดองค์พระ (ฮัก, หาง) ไว้เป็น

จํานวนมากชาวบ้านก็ได้มาช่วยกัน สร้างพระพุทธรูปองค์สําคัญนี้หลายคน และที่สําคัญมีอยู่ 22 คน ตาม

รายชื่อ ในสมัยนั้นว่าไว้ ดังนี้ ”

1. ขันตะคะ 2. ปัญญาวิลาศ 3. คําผง

4. จันทิมา 5. โปธา 6. อินทจักร

7. วะคะโย 8. วัณณภูมิ 9. ปินตา

10. อุปละ 11. โสนันทะ 12. อินทศร

13. อุจฉิตะ 14. อริยะ 15. โสพัดทะ

16. ต่างน้ําฮิน 17. อักกะ 18. สร้อย

19. สายเงิน 20. วันนัง 21. ผาบเมือง

22. ก้านแก้ว

“การสร้างพระพุทธรูปในตอนแรก ก็ได้มีการแสดงความคิดเห็นกันไป ต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะการ

ออกแบบพระพักตร์ของพระพุทธรูปว่าจะเอาแบบใด รูปลักษณะใด จึงจะเหมาะสม ความคิดเห็นก็ยังไม่เป็นที่

ตกลงกัน เพราะคนนั้น จะเอาอย่างนี้ คนนี้จะเอาอย่างโน้น ตัวข้าพเจ้า (ท้าวนาปกาพรหม) ก็รู้ด้วยวิถีญาณ ว่า

คงจะไม่เป็นการดีแน่ จึงได้อธิฐานจิตไปยังโลกมนุษย์ โดยแปลงร่างเป็น “ชีปะขาว” มีชื่อว่า “พรหมชาติ” มา

รับอาสาช่วยกันออกแบบพระพักตร์พระพุทธรูปจนเป็น ที่พออกพอใจ ด้วยกันทุกฝ่ายจนแล้วเสร็จ”

“ข้าพเจ้า(ท้าววนาปกาพรหม) ก็ได้อัญเชิญแก้วอัญมณีสีนิล มีขนาดเท่ากับ ผลมังคุดของโลกมนุษย์

ปัจจุบัน จากแดนสังกังโลกัง หรือแดนทิพย์แดนธรรม” มาประดับไว้ที่ดวงตาของพระพุทธรูปทั้ง 2 ข้าง”

“เมื่อก่อนสร้างเสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว ตัวข้าพเจ้า(ท้าววนาปกาพรหม) ก็ได้นํา ศรัทธาประชาชนสมัยนั้น

กล่าวคําอธิฐานต่อหน้าครูบาเจ้า ซึ่งชื่อว่า “ปัญโญญาณ ภิกขุ” พระภิกษุผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบในสมัยนั้นว่า

ด้วยเคชกุศลผลบุญที่พวก ข้าพเจ้าทั้งหลาย ได้กระทําการก่อสร้างพระพุทธรูปเจ้าองค์นี้ เพื่อให้เป็นที่สักการะ

ของเหล่าเทพยดา มนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลายของจงเป็นพลวปัจจัยอุดหนุน ค้ำาจุน แก่หมู่ข้าพเจ้าทั้งหลายไป

ทุกภพทุกชาติ ตั้งแต่ภพชาตินี้เป็นต้นไป เกิดมาภาวะชาติใด ก็ขอให้บุญกุศลที่ได้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้จง

ส่งผลให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีอาการ ครบ 32 ประการ ได้มาพบพระพุทธศาสนาและทําบุญทําทานต่อไป

ขอให้มี ผิวพรรณวรรณผ่องใส อย่าได้อด ได้อยาก และขอให้กุศลผลบุญติดตามไปดังร่ม และเงาไปจนถึง พระ

นิพพานเป็นที่สุดดังนี้แล”

“พระพุทธรูปพระเจ้าตาเขียวองค์นี้เริ่มสร้างเมื่อเดือนออก 8 ค่ำ ปีพ.ศ. 1235 เสร็จสมบูรณ์เมื่อเดือน

ยี่ แรม 5 ค่ำ ปี พ.ศ. 1235 ทําการฉลองสมโภชเมื่อเดือน 3 ออก 6 ค่ำเมื่อ มีการฉลองสมโภชก็ได้มีการเอา

กระบอกไฟมาจุดเป็นจํานวน 108 กระบอก ตัวข้าฯ (ท้าววนาปกาพรหม) ก็ได้กระโดดขึ้นไปกับกระบอกไฟนั้น

ลอยขึ้นไป บนอากาศแล้วหายลับตาไป ศรัทธาชาวบ้านสมัยนั้นตื่นตะลึงด้วยอํานาจกายสิทธิ์ ของข้าฯ และ

ต่อมาจึงทราบว่าข้าพเจ้า(ท้าววนาปกาพรหม) เป็นเทพยดาแปลงกายลงมา ช่วยกันสร้างพระพุทธรูปเจ้าตา

เขียว” ท้าววนาปกาพรหม พูดขึ้นแล้วหัวเราะ ท่านครูบาคันธา และท่านพญาพิงคราชหัวเราะตามไปด้วย

“เมื่ออบรมสมโภชแล้วพระพุทธรูปเจ้าตาเขียวก็มีความเจริญรุ่งเรืองมา ตามลําดับจนถึงปี (มะเส็ง)

เดือน 8 ออก 4 ค่ำ พ.ศ.1824 บ้านเมืองในโลกมนุษย์ เกิดศึกสงคราม ทั้งนี้เพราะคนในโลกมนุษย์ถูกกิเลส

ครอบงํา ซึ่งอยู่ในยุค ของพระเจ้ายีบา ผู้เป็นใหญ่ครองนครลําพูน ผู้คนได้ล้มตาย พระพุทธรูป พระเจ้าตาเขียว

จึงขาดการดูแลเอาใจใส่ บ้านเมืองที่รกร้าง ไม่มีผู้คนอาศัย อยู่ใน บริเวณนั้นตัวข้าง(ท้าววนาปกาพรหม) จึง

อธิษฐานเป็นงูใหญ่มาเฝ้าพระพุทธรูปเจ้าตาเขียวไว้ เพื่อมิให้ใครมาทําลาย จนลุมาถึง ปี พ.ศ.2064 ก็ได้มีการ

ซ่อมแซม ยังไม่ทันเสร็จบ้านเมืองเกิดศึกสงครามขึ้นมาอีก บ้านเมืองได้รกร้างว่างเปล่า จนดินแดนถิ่นนี้เป็นป่า

เป็นดงไม้ไปหมด”

 ท้าววนาปกาพรหมพูดต่อไปว่า “จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2394 ก็ได้มีครูบา เจ้าเมืองถึงม้าจากประเทศ

พม่า เดินธุดงค์มาพบเข้า จึงไดทำการซ่อมแซมและบูรณะ ขึ้นใหม่ให้อยู่ในสภาพดั้งเดิม เพียงแต่ได้เปลี่ยนรอย

ผ้าสังฆาฏิให้ยาวกว่าเก่า เท่านั้น”

“ที่ครูบาเจ้าถึงม้าได้มาบูรณะพระพุทธรูปเจ้าตาเขียว เป็นเพราะบุพกรรม ในอดีตชาติกล่าวคือ เมื่อ

เกิดเป็น “ขันตะคะ” และ “เลี้ยวกันทอ” นั้นบุพกรรม ในอดีตชาติก็คือ “ปัญญาวิลาศ” ที่ได้ร่วมสร้างกัน

ครั้งแรกนั่นแหละ ครูเจ้ากึ่งองค์นี้ ได้มาบูรณะซ่อมแซมพระพุทธเจ้าตาเขียว และได้สร้างวัดบ้านเหล่าขึ้น โดย

อยู่จํา พรรษาที่นี่ตั้งแต่เดือน 7 แรม 5 ค่ำ ปี พ.ศ.2396 จึงถึงแก่มรณภาพไปเมื่อปีสง่า (มะแม) เดือน 9 ออก 8

ค่ำ เวลาเช้า ปี พ.ศ.2413 อายุได้ 93 ปี และครูบาอึ้งม้าองค์นี้ เป็นผู้ทําแก้วเขียวเทียมทับแก้วของจริงไว้

เพราะกลัวว่าหากคนมีจิตใจละโมบ ไม่กลัว บาปกรรมมาเห็นเข้า อาจคิดไม่ดีแล้วจะทําการขโมยแก้วตาจริง

ของ พระพุทธรูปไป”

จากนั้น ท้าววนาปกาพรหม ก็ได้ย้อนกล่าวถึงคณะศรัทธาชาวบ้าน ในสมัยนั้นเริ่มแรกที่ได้ทําการ

ก่อสร้างพระพุทธรูปเจ้าตาเขียวทุก ๆ คน ต่างก็ เวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ตามบุพกรรมของใครของ

มัน ในช่วงเวลา อันยาวนานบ้าง สั้นบ้าง ท้าววนาปกาพรหมได้บอกว่าในปัจจุบันชาติที่คณะชาวบ้าน 22 คน ที่

ได้ร่วมก่อสร้างพระพุทธรูปเจ้าตาเขียว ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ดังมี รายชื่อดังนี้

1. ขันตะ ปัจจุบันชาติยังไม่ได้มาเกิดมาเป็นมนุษย์ ยังอยู่ในแดนทิพย์แดนธรรมอยู่ (ครูบากิ่งม้า)นั้นเอง

2. ปัญญาวิลาศ เกิดมาและได้สิ้นบุญจากโลกมนุษย์ไปแล้ว ยังอยู่ในแดนทิพย์ แดนธรรมอยู่(หม่องกันทอ)

3. คําผง เกิดมาชาตินี้คือ นางประกอบ สุริยจันทร์ ร้านกุสุมาแก๊สลําพูน เป็นผู้หนึ่ง ที่จะได้มาร่วม บูรณะวัดบ้านเหล่าในปัจจุบัน

4. จันทิมา เกิดมาชาตินี้คือ มยุรี สุวรรณทีป อยู่บ้านเลขที่ 45 หมู่ 7 ต.บึงน้ํารักษ์ อ.บางน้ําเปรี้ยวจ.ฉะเชิงเทรา

5. โปธา เกิดมาชาตินี้คือ (นายสาคร ปัญญาจักร) อยู่บ้านเลขที่ 63 ต.ป่าบง อ.สารภี จ.เชียงใหม่

6. อินทจักร เกิดมาชาตินี้คือ (นายมนัส บุตรศรีแก้ว) อยู่บ้านเลขที่ 106 หมู่ 5 ต. ทาขุมเงิน อ.แม่ทาจ.ลําพูน

7. วะคะโย เกิดมาชาตินี้มีกรรมเกิดเป็น “ไก่” อยู่ในป่า จ.ลําปาง

8. วัณณภูมิ เกิดมาชาตินี้มีกรรมเกิดเป็น “แมว” อยู่ในเมืองโกศัย

9. ปินตา เกิดมาชาตินี้คือ พระภิกษุศรีเนียมอาภากโร วัดดงป่างิ้ว อ.สันป่าตอง จ. เชียงใหม่

10. อุปละ เกิดมาชาตินี้คือ (นายบุญเป็ง อารีมิตร) ให้ไปถามพระภิกษุศรีเนียม ท่านจะบอกให้

11. โสนันทะ เกิดมาชาตินี้คือ (พระวรณาณวิสุทธิ์) หรือท่าน อาจารย์แสน ญาณวโร วัดพระบาทยั้งหรีด อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่

12. อินทศร เกิดมาชาตินี้คือ (นายบุญปั้น กองบุญเกิด) ให้ไปถามท่านอาจารย์แสน ท่านจะบอกที่อยู่ให้

 13. อุจฉิตะ เกิดมาชาตินี้คือ (นายเฉลิมพล อุตตะมะ) อยู่ที่ไหนให้ไปถามนายปั้น กองบุญเกิด เขาจะบอกที่อยู่ให้

14. อริยะ เกิดมาชาตินี้คือ นายกมล สุทธิสุรินทร์ เขาเป็นคนถิ่นนี้ข้าฯ ไม่บอกที่อยู่ให้ เพราะอีกไม่กี่วันก็จะ ได้พบกันแล้วและจะได้พบตัวจริงในวันที่ 9 เมษายน 2530 เขาเป็นคนบ้านเหล่านั่นแหละ

15. โสพัดทะ เกิดมาชาตินี้ยังมีกรรมอยู่ โดยเกิดมาเป็น “ผีเสื้อ” (เบ้อ) อยู่ในป่า

16. ต๋างน้ำฮิน เกิดมาชาตินี้เป็นพระ ชื่อว่า พระอุดมธรรมพิลาศ หรือ ตุ๊เจ้าอินทร์ วัดสันป่าตอง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่

17. อักกะ เกิดมาชาตินี้เป็นพระ ชื่อว่า (พระสุจิตต์ บุญญาภรณ์) หรือ ตุ๊เจ้าบุญชุม วัดหนองแฝก อ.สารภี จ.เชียงใหม่

18. สร้อย เกิดมาชาตินี้มีกรรม โดยเกิดเป็น “เม่น” อยู่ในป่า

19. สายเงิน เกิดมาชาตินี้คือ นางลําเจียก จิตรบํารุง อยู่บ้านเลขที่ 74 หมู่ 8 ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

20. วันนัง เกิดมาชาตินี้ยังมีกรรมอยู่ โดยเกิดเป็น “แมว” อยู่ในป่า

21. ผาบเมือง เกิดมาชาตินี้คือ นายสุริยนต์ มูลพินิตร อยู่บ้านเลขที่ 13 ถนนภูมิวิถี อ.วังสะพุง จ.เลย

22. ก้นแก้ว เกิดมาชาตินี้คือ (นายทิพากร สินธุญา) อยู่บ้านเลขที่ 162/1 ต.เหมืองง่า อ.เมือง จ.ลําพูน

ส่วน “ปัญโญญาณภิกขุ” เกิดมาในชาตินี้เป็นพระมีชื่อว่า (“ท่านพระครู สันตจิตตานุยุติ) อยู่วัดป่าลาน อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่

ท้าววนาปกาพรหม ได้เล่าถึงเรื่องการเวียนว่ายตายเกิดภพชาติต่อไปของ แต่ละคนให้ครูบาคันธา

พญาพิงคราช และผม(นายไพศาล แสนไชย) ฟังอีกซึ่งภพภูมิ ต่าง ๆ ของแต่ละคนก็มีดังนี้

1. ครูบากิ๋งม้า จะได้เกิดยังโลกมนุษย์ หลังจากได้เสวยบุญในแดนทิพย์แดนธรรม ระยะหนึ่ง โดยเกิดมาแล้วได้เป็นพระภิกษุอีกมีชื่อว่า ท่านสาธุเจ้า บุญมา ธัมมะปัญโญ และจะได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว ในอนาคตอีกครั้งหนึ่ง

2. ปัญญาวิลาศ หรือ หม่องกันทอ ชาติต่อไปจะได้เกิดมาเป็นพระภิกษุอีก มีชื่อว่า ท่านสาธุเจ้าสุจิตสุจิตโต

3. นางประกอบ สุริยะจันทร์ ชาติต่อไปมีบุญได้มาเกิดเป็นพระมีชื่อว่า ท่านสาธุ เจ้าเมธัง เมธังกะโร

4. มยุรี สุวรรณทีป ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า นางสาวิตรี ศรีอโณทัย

5. สาคร ปัญญาจักร์ ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า นายอํานวย อํานาจมี

6. มนัส บุตรศรีจันทร์ ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า นายประพฤติ พฤกษ์ศรีแก้ว

7. วะคะโย หรือสัตว์ที่เกิดเป็น “ไก่” กลับชาติมาเกิดเพราะบุญได้เกื้อหนุนส่งเสริม ให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์โดยจะมีชื่อว่า วินัย วิญญาโยค

8. วัณณภูมิ หรือสัตว์ที่เกิดเป็น “แมว” กลับชาติมาเกิดเพราะบุญได้เกื้อหนุนส่งเสริม ให้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์โดยจะมีชื่อว่า นายไวว่อง อินมินา

 9. พระศรีเนียม อาภากโร ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า ท่านสาธุเจ้าศักดา ปัญญาธะโร

10. นายบุญเป็ง อารีมิตร ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า นายจรวย ภูพาณิช

11. พระวรณาณวิสุทธิ์ ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า ท่านสาธุเจ้าสายันห์ ธัมมะปัญโญ

12. นายปัน กองบุญเกิด ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า นายบุญเลิศ ศรีเมืองบน

13. นายเฉลิมพล อุตตมะ ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า นายยิ่งยง แก้วอําพา

14. นายกมล สุทธิสุรินทร์ ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า นายอํานาจ สิทธิไตร

15. โสพัดทะ หรือเป็น “ผีเสื้อ” (เบ้อ) ใช้เวรใช้กรรมแล้วกุศลผลบุญที่ได้ร่วม ก่อสร้างพระเจ้าตาเขียว ส่งผลให้เกิดมาเป็นมนุษย์แต่เป็นผู้หญิง มีชื่อว่า นางศศิธร รุ่งเรืองงาม

16. พระอุดมมธรรมพิลาศ หรือ ตุ๊เจ้าอินทร์ ชาติต่อไปจะได้เกิดเป็นพระอีก มีชื่อว่า ท่านสาธุเจ้าวีระพงศฐานะธัมโม

17. พระสุจิตต์ บุญญาภรณ์ หรือ ผู้จ้าบุญชม ชาติต่อไปจะมีชื่อว่า ท่านสาธุเจ้าบุญยัง ปัญญาธะโร

18. สร้อย หรือเป็น “เม่น” เมื่อใช้เวรใช้กรรมในชาติปัจจุบันแล้วกุศลผลบุญ ที่ได้ร่วมก่อสร้างพระเจ้าตาเขียว ส่งผลให้เกิดมาเป็นมนุษย์แต่เป็นผู้หญิง มีชื่อว่า นางวรรณา สัจจะวาณิช

19. นางลำเจียก สิตรบํารุง ชาติต่อไปมีชื่อว่า นางกอบบุญ อินนุ่งโยค

20. วันนัง หรือเป็น “แมว” ในชาติปัจจุบัน เมื่อใช้เวรใช้กรรมแล้วกุศลผลบุญ ที่ได้ร่วมก่อสร้างพระเจ้าตาเขียว ส่งผลให้เกิดมาเป็นมนุษย์ชื่อนายพิภพ ภู่ปัญโญ

21. นายสุริยันต์ มูลพิจิตร ชาติต่อไปมีชื่อว่า นายวัฒนา พิมพิไชย

22. นายทิพากร สินธุญา ชาติต่อไปมีชื่อว่า นายสุริยัน แสนศักดา

ส่วน “ปัญโญณาณ ภิกขุ” หรือ “ท่านพระครูสันตจิตตานุยุติ” ชาติต่อไป จะมีชื่อว่า “ท่านพระครูวิริยาลังการ์”

“นี่แหละ เรื่องมันเป็นอย่างนี้” ท้าววนาปกาพรหมพูดขึ้น แล้วพูดต่อไปอีกว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะได้นําเรื่องนี้ไปบอกยัง โลกมนุษย์ให้พวกเขาเหล่านั้นได้รู้ได้ทราบ ถ้าหากพวกเขาเหล่านั้นไม่รู้ไม่ทราบในเรื่องนี้แล้วพวกเขาเหล่านั้นก็จะพลาดโอกาส ในการทําบุญทําทานพลาดโอกาสที่จะได้สร้างทานบารมี ศีลบารมี เมตตา บารมี ภาวนาบารมี และเมื่อพวกเขาเหล่านั้น ได้รู้ได้ทราบ ก็จะทําให้เกิดมีกําลังใจเกิดศรัทธา ความเชื่อมั่นใน

พระรัตนตรัย เชื่อในกฎแห่งกรรม ทําดีได้ดี ทําชั่วได้ชั่ว และเชื่อ ในกฎของธรรมชาติในการที่จะต้องเวียนว่าย

ตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่ แล้วหันมาประพฤติปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ และเข้าถึงพระนิพพานในกาล

ข้างหน้า” ท้าววนาปกาพรหมพูดไปยิ้มไป

ท้าววนาปกาพรหมพูดต่อไปอีกว่า “เรื่องที่เล่ามาก็มีเพียงเท่านี้ และ ขอฝากเรื่องนี้ให้ไพศาล นําไปพูด

หรือเล่าให้คนในโลกมนุษย์ฟังด้วยแม้นคนอื่น หรือผู้อื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องนี้เมื่อได้ยินได้ฟังเรื่องนี้แล้ว

บุคคลที่มีธุลีใน ดวงตาเบาบางพอที่จะเข้าใจในเรื่องนี้ได้อาจกล่าวได้ว่าเป็นโชคลาภมีวาสนา ที่มีโอกาสได้ยินได้

ฟังในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็ขออนุโมทนาและยินดีไปกับเขาด้วย เพราะเขาเหล่านั้นจะต้องมีศรัทธาความเชื่อมั่นใน

การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เชื่อมั่น ในกฎแห่งกรรม และยึดถือเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง ที่พึ่งอย่างอื่นไม่มี

นอกจาก พระรัตนตรัยแก้ว 3 ดวงนี้เท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแท้จริง”

 จากนั้น ท้าววนาปกาพรหมก็ได้กล่าวคําอําลาท่านครูบาคันธา คันธาโล ท่านพญาพิงคราชและผม (นายไพศาล แสนไชย) ท่านครูบาคันธากล่าวให้ศีล ให้พรแก่ท้าววนาปกาพรหม ณ ที่นั่น ท้าววนาปกาพรหมก็กลับไปสู่ “ต้นกระทิงทอง ประเทศศรีลังกา” ตามเดิมแล้วคณะของพวกเราก็เตรียมตัวออกไปจากที่นั่น

เพื่อที่จะไปดู “กองบุญกองกุศล” ของคนในโลกมนุษย์ตามหน้าที่อีกเช่นเคย

นอกเหนือจากเรื่องที่เล่ามาทั้งหมดข้างต้นนี้แล้ว ในวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2530 ผม (นายไพศาล แสนไชย) ก็ได้นิมิตถึงบุคคลต่าง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่ใน โลกมนุษย์อีก 3-4 คนดังนี้

1. นางศรีพรรณ บัวงาม อยู่บ้านเลขที่ 4/2 หมู่ 2 ถนนติวานนท์ อ.เมือง จ.นนทบุรี

2. นางอุทยั วัลย์ พงศ์ปัญญา อยู่บ้านเลขที่ 422 ถนนมรุพงศ์ อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา

3. นายขาว เกตุวาจา อยู่บ้านเลขที่ 25/1 หมู่ 6 ต.ทะเลชุบศร อ.เมือง จ.ลพบุรี

4. นายกุ้ยเอี้ยง สุนทรพัฒน์ อยู่บ้านเลขที่ 181/124 ถนนเจริญประดิษฐ์ อ.เมือง จ.ปัตตานี

 บันทึกนิมติ พิเศษพระเจ้าตาเขียว (ตอนที่ 2)

นิมิตโดย นายไพศาล แสนไชย

เรียบเรียงโดย “กระดิ่งร้อย ห้อยวิหาร”

บันทึกโดย นายเพชรา เดชประสิทธิ์

นิมิตนี้ได้เกิดขึ้นเมื่องานประเพณีสรงน้ําพระเจ้าตาเขียว ประจําปี พ.ศ. 2535 ซึ่งตรงกับคืนวันเสาร์ที่

9 เดือนพฤษภาคม พ.ศ.2535 ในวันนี้ข้าพเจ้า นายไพศาล แสนไชยได้ไปช่วยงานกับทางวัดบ้าเหล่าพระเจ้าตาเขียว ได้พบปะกับผู้คนเป็น จํานวนมากทั้งในจังหวัดลําพูนและที่มาจากต่างจังหวัด และ ได้สนทนากับบรรดาแขก ที่มา ข้าพเจ้าได้สนทนากันถึงเรื่องความทุกข์ ความสุขที่เกิดมาเป็นมนุษย์ ซึ่งบางคน ก็ผิดหวัง บางคนก็

สมหวัง จากการที่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันจึงได้รู้ว่าเขา เหล่านั้นมีความทุกข์มากกว่าความสุข บางคน

ทุกข์เพราะไม่มีเงินแต่บางคนมีแล้วแต่ ยังอยากมีอีกเยอะ ๆ จึงทุกข์เพราะความไม่รู้จักพอ บางคนทุกข์เพราะ

ความโลภ โกรธ หลง บางคนทุกข์เพราะความแก่ ความเจ็บ และความตาย ทุกคนที่ได้พูดคุยกัน ในวันนั้นต่างก็

ได้แง่คิดที่ดี ในส่วนตัวข้าพเจ้านั้นหลังจากรับฟังเรื่องราวแล้วก็ได้ แบกความทุกข์อันใหญ่หลวงของแต่ละคน

กลับมาบ้านด้วยความเต็มใจ ที่เขาได้ ระบายให้ฟัง แล้วทําให้เขาเหล่านั้นเกิดความสบายใจขึ้น

เมื่อมาถึงบ้านประมาณ 6 โมงเย็น ก็ได้ช่วยพ่อแม่ทํางานบ้านต่าง ๆ จนเสร็จ เรียบร้อยเมื่อถึงเวลา

ประมาณ 1 ทุ่มเศษ ข้าพเจ้าก็ได้ร่วมรับประทานอาหาร กับพ่อแม่และหลาน ๆ หลังจากนั้นก็ได้พูดคุยสนทนา

กับพ่อแม่และหลาน ๆ จนถึงเวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษ ๆ ตัวผม (นายไพศาล) มีอาการรู้สึกง่วงนอน ซึ่งเป็น

สัญญาณที่รู้ด้วยตนเองว่า จะต้องไปทําหน้าที่เป็นสื่อระหว่างโลกมนุษย์ กับปรโลก เมื่อเกิดความง่วงจึงได้เข้า

นอนในที่นอนของตนเอง จนกระทั่ง ได้หลับสนิทไป ในเวลาเท่าไหร่ไม่ทราบ จึงได้นิมิตว่า

ในนิมิตนั้นได้มีบุคคล 2 คน คือท่านครูบาคันธาและท่าพญาพิงคราช ได้มารับไปเหมือนอย่างทุกครั้งที่

ผ่านมา โดยก่อนจะไปผมก็ยังเห็นตัวเองนอนอยู่ ในลักษณะนอนตะแคงขวา มือและเท้าเหยียดตรง ท่านครูบา

คันธาและท่านพญาพิงคราชได้มองไปที่ร่างของข้าพเจ้าพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยและได้เอ่ยปากชวนผมว่า

“ไปเถอะ ข้างหน้ายังมีผู้คนรออีกมากมาย” เมื่อท่านพูดเสร็จแล้วผมก็ไม่รู้ว่า มีแรงดึงดูดอย่างแรงมา

จากไหนทําให้ผมและท่านทั้ง 2 ปลิวขึ้นอย่างรวดเร็ว ไปไกล ประมาณครึ่งชั่วโมง ท่านทั้ง 2 จึงพาไปลงยัง

สถานที่แห่งหนึ่ง

ซึ่ง ณ ที่นั่นผมได้สังเกตเห็นศาลาทรางจตุรมุขขนาดใหญ่ตั้งอยู่เรียงรายกัน ประมาณ 10 กว่าหลัง

ท่านครูบาคันธาและท่านพญาพิงคราช ก็ได้พาผมไปยังที่ศาลา หลังแรก ซึ่งศาลาหลังนี้ก็ได้มีคนนั่งรออยู่แล้ว

พอเห็นหน้าคนที่นั่งอยู่ในศาลานั้น ตัวผมก็จําได้อย่างแม่นยํา คน ๆ นั้นก็คือ ท่านท้าววนาปกาพรหม ซึ่งกําลัง

อยู่ ในลักษณะที่เตรียมพร้อมและรอคอยอยู่ก่อนแล้ว ท่านท้าววนาปกาพรหมเมื่อเห็น คณะของผมก็ได้แสดง

ความปิติยินดีเป็นอย่างมาก และได้กล่าวเชื้อเชิญให้คณะ ของผมขึ้นไปบนศาลาหลังนั้น เมื่อขึ้นไปบนศาลาแล้ว

ท่านครูบาคันธาก็ได้นั่ง ที่หัวโต๊ะที่จัดเตรียมไว้ ส่วนท่านพญาพิงคราชและผมก็ได้นั่งถัดมาเรียงตามลําดับ เสร็จ

แล้วท่านครูบาและท่านพญาพิงคราชก็ได้ส่งยิ้มให้ท่านท้าววนาปกาพรหม แล้วท่านครูบาคันธา จึงได้พูดขึ้นว่า

“เออ ท่านท้าววนาฯ มีอะไรจะสั่งไปยังโลกมนุษย์ ก็พูดได้แล้วนะ เพราะถึงเวลาแล้วที่จะได้พูดกัน”

 ท่านท้าววนาฯ ได้คุกเข่าลงแล้วยกมือขึ้นไหว้ท่วมหัว แล้วพูดออกไปว่า ก็เพราะพระบรมธาตุหริภุญ

ไชยได้อุบัติขึ้น (อุปันโณ หมายความว่า อุบัติขึ้น เกิดขึ้น) มาปรากฏแก่สายตามนุษย์โลกทั้งหลาย โดยเฉพาะใน

เมืองหริภุญไชย ได้มีผู้คนแตกตื่นไปทําบุญและไปมนัสการพระธาตุกันอย่างมากมาย พระเจ้าตาเขียว จึงขาด

การดูแลเอาใจใส่จากพุทธบริษัททั้ง 4 ถึงแม้จะมีการดูแลอยู่บ้างแต่ก็ เอาใจใส่น้อยเต็มที ดังนั้นจึงเดือดร้อนถึง

ข้า (ท้าววนาประกาพรหม) ต้องไปปกปัก รักษาพระพุทธรูปองค์นี้มิให้สูญหายหรือถูกทําลาย โดยตัวข้าได้

แปลงร่าง เป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ผิดปกติมีรูปร่างน่ากลัวและก็ได้แปลงร่างเป็นงูใหญ่ ซึ่งใหญ่กว่าง

ทั้งหลายให้มนุษย์แถบนั้นได้เห็น ซึ่งก็มีผลทําให้มนุษย์ที่อาศัยอยู่ บริเวณนั้นไม่กล้ามายุ่งหรือคิดทําลาย

พระพุทธรูป เมื่อผู้คนได้แตกตื่นไปนมัสการ พระธาตุหริภุญไชยกันหมดแล้ว ได้มีกลุ่มคนจํานวนหนึ่งซึ่งอาศัย

อยู่ในบริเวณนั้น และบริเวณอื่นที่มาจากต่างบ้านต่างเมือง คนกลุ่มนี้ส่วนมากเป็นคนหาเช้ากินค่ำเป็นคนทุกข์

ยาก ไม่มีใครเป็นเศรษฐีแม้แต่คนเดียว แถมยังมีร่างกายพิกลพิการ ไม่สมประกอบ บางคนอาการไม่ครบ 32 ก็

มี เช่น หูหนวก, ปากแหว่ง, หูขาด ไปข้างหนึ่งก็มี, แขนยาวกว่าขาก็มี, บ้างก็เป็นขี้หิด ขี้เกลื่อนก็มี บุคคลกลุ่มนี้

มีจํานวนทั้งสิ้น 72 คน แม้ว่าคนหมู่นี้ทั้ง 72 คน ไม่มีทรัพย์และปัจจัยเขาก็ได้ เอาแรงกายเข้าช่วยกันบูรณะวัด

พระเจ้าตาเขียว ซึ่งบุคคลทั้งหมดนี้มีจิตใจอันเป็นกุศล ที่จะสร้างบุญให้เกิดกับตนเอง (เพราะกลุ่มคนทั้ง 72 คน

นี้ จะไปทําบุญที่ไหน ก็มีแต่คนรังเกียจ) ในชาตินี้ จึงได้ตั้งจิตตั้งใจ ทําการบูรณะวัดพระเจ้าตาเขียว ขึ้นมาอีก

ครั้งหนึ่ง ในการก่อสร้างครั้งนั้นทุกคนก็มีความขมีขมัน ตั้งอกตั้งใจทํา แม้ว่าจะมีคนอื่นมากีดขวางการพัฒนา

ก่อสร้างบูรณะวัดครั้งนี้ ก็หาได้ย่อท้อไม่ พร้อมกันนี้เขาเหล่านี้ก็ได้แบ่งกลุ่มกันทํางานตามความถนัดของแต่ละ

คน ซึ่งในการ แบ่งกลุ่มนั้นคนที่มีรูปร่างหรือลักษณะคล้ายกันก็จะจับกลุ่มเดียวกัน เช่น พวกที่มี รูปร่างไม่สวย

ไม่งามก็จะอยู่กลุ่มเดียวกัน, พวกที่มีรูปร่างพิกลพิการก็จะอยู่กลุ่มเดียวกัน ทั้งหมดนี้ก็ได้แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม

กลุ่มละ 18 คนมีชื่อว่าดังนี้

กลุ่มที่ 1 เป็นกลุ่มแผ้วถางกิ่งไม้ทําความสะอาดบริเวณวัด กลุ่มนี้ในอดีตชาติ ได้ทําอกุศลกรรมไว้คือ

ชอบถึงแขนดึงขาสัตว์ บ้างก็เอาไฟลนสัตว์ให้ได้รับ ความทุกข์ทรมาน เมื่อทําร้ายสัตว์แล้วก็ชอบอกชอบใจ

สะใจ ที่ได้ทำกรรมในครั้งนั้น

“กราบนมัสการท่านครูบาและท่านพญาพิงคราชและไพศาล แสนไชย” (ในนิมิตตัวผมไพศาลมีความ

ตกใจที่เห็นท่านท้าววนาฯ มานั่งคุกเข่าและกราบไหว้ ตนเอง) จึงได้เรียกให้ท่านท้าววนาฯ ขึ้นมานั่งบนเก้าอี้จะ

ได้พูดคุยกันได้สะดวก และเป็นกันเอง ท่านท้าววนาฯ เมื่อได้รับเชิญจากผม (นายไพศาล) ท่านครูบา และท่าน

พญาพิงคราชจึงได้ลุกขึ้นมานั่งด้วยแล้วท่านจึงพูดขึ้นว่า

“ตัวข้ายินดีมากที่จะได้พูดคุยและเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในอดีตที่ผ่านมา เรื่องที่ข้าจะเล่าให้ฟังก็คือเรื่อง

การบูรณะพัฒนาวัดบ้านเหล่าพระเจ้าตาเขียว ในครั้งที่ 2 คือ…”

หลังจากที่พระเจ้าตาเขียวได้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาตั้งแต่สมัยเจ้าแม่จามเทวี ปฐมกษัตริย์ของเมืองหริภุญ

ไชย และได้เป็นประธานการปั้นพระเจ้าตาเขียวเมื่อ พ.ศ.1235 แล้วองค์พระเจ้าตาเขียวก็ได้รกร้างลงในปี พ.ศ.

1720 สาเหตุที่รกร้างและด้วยอกุศลกรรมนี้จึงได้ส่งผลให้มาเกิดในชาตินี้เป็นคนมีแขนยาวกว่าขา ขาและแขน

ยาวไม่เท่ากัน มือมีสภาพหงิกงอ แขนเหยียดไม่ได้, ตาพิการ ตาเขไม่เท่ากัน คนกลุ่มนี้มีรายชื่อดังต่อไปนี้

1. นางวาด 2. นายผิน 3. นางออน 4. นางแส

5. นายหมั่น 6. นางจีน 7. นายอุด 8. นายเนตร

9. นางบุญ 10. นายอุ่น 11. นายหลวง 12. นางเหรียญ

13. นายพาน 14. นายดี 15. นายชม 16. นายพ่วง

17. นายหนู 18. นางชุ่ม

กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ช่วยปั้นดินกี่ (อิฐ) คนกลุ่มนี้ในอดีตชาติได้ทํา อกุศลกรรมไว้โดยชอบใช้ของมีคม

ทําร้ายร่างกายสัตว์ ทําให้เกิดบาดแผล ทําให้สัตว์ได้รับบาดเจ็บ เมื่อทําร้ายแล้วปล่อยให้เป็นไปตามยะถากรรม

ด้วยความทุกข์ ทรมาน และยังชอบหักคางสัตว์ด้วยบาปอกุศลกรรมนี้ จึงทําให้กลุ่มคนนี้ เกิดมา มีร่างกายที่มี

ตุ่ม มีตอ เกิดขึ้นทั้งหน้าตาและลําตัว (ท้าวแสนปม) มีน้ําเหลือง น้ําหนองไหลออกจากตุ่มจากตอนั้นเลอะเทอะ

เปรอะเปื้อนไปหมด บางคน ก็มีปากเบี้ยวพูดไม่ชัด พูดติดอ่าง คนกลุ่มนี้มีรายชื่อดังต่อไปนี้

1. นายแคล้ว 2. นายแก้ว 3. นายพุ่ม 4. นายไข่

5. นายเหล่า 6. นายแยง 7. นางกี 8. นางขอด

9. นายเบีย (หลวง) 10. นางสร้อย 11. นางงา 12. นางป่า

13. นายกาน 14. นายเบี้ย (น้อย) 15. นายเติม 16. นางขาง

17. นายเลี่ยม 18. นายบุ

กลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่มที่เคี่ยวน้ําอ้อย (น้ำตาล) ไว้สําหรับผสมดินกี่ (อิฐ) คนกลุ่มนี้ในอดีตชาติเวลาทําบุญ

มักทําหน้าทําตาไม่พอใจ (ทําหน้าหงิกหน้างอ) โดย เฉพาะถ้าไปทําบุญกับพระอริยะสงฆ์ก็มักจะด่าว่าต่าง ๆ นา

ๆ บาปอกุศลกรรม ในครั้งนั้น จึงส่งผลให้คนกลุ่มนี้ เกิดมามีลักษณะหน้าตามีแต่กระดูก ตาลึกโปเหมือนผี มี

กลิ่นตัวที่เหม็นสาบมากเพราะเป็นชันนะตุ มีแผลผุผอง แมลงวันตอมทั้งวัน ใครเห็นก็เกลียดก็กลัวเพราะมี

ใบหน้าเหมือนผี กลุ่มคนทั้งหมดนี้มีรายชื่อดังต่อไปนี้

1. นายชั้น 2. นายใจ 3. นางเสือ 4. นางหล้า

5. นางเนตร 6. นายโศก 7. นางผัด 8. นายทรง

9. นายบุญ 10. นายมุด 11. นายกาบ 12. นางชุม

13. นางก้อ 14. นายระ 15. นายแดง 16. นายขัน

17. นายลาด 18. นางเดิม

กลุ่มที่ 4 เป็นกลุ่มที่ไม่มีความสามารถทางด้านอื่น จึงอาสาเป็นพ่อครัว แม่ครัว ซึ่งในคนกลุ่มนี้

อดีตชาติที่ผ่านมาเป็นคนที่คดโกง ชอบโกงแรงงาน, โกงเงิน, โกงทรัพย์สินผู้อื่น และคนกลุ่มนี้ชอบตัดหางสัตว์

เพราะด้วยบาปและอกุศลกรรม ที่ทําไว้ จึงส่งผลทําให้เกิดมามีแขนขาไม่เท่ากัน แขนขาเหยียดได้ไม่เต็มที่ มี

น้ํามูก น้ําลายและเสมหะไหลออกมาเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเป็นที่รังเกียจของผู้พบเห็น ผู้คนกลุ่มนี้ไม่ชอบใส่

เสื้อไม่ชอบอาบน้ํา หูไม่ดี บางคนมีหูข้างเดียว หูหายไปข้างหนึ่ง ก็มีคนกลุ่มนี้มีรายชื่อดังต่อไปนี้

1. นางจา 2. นางสี 3. นายชู 4. นายเงา

5. นายจันทร์ 6. นายเปลี่ยน 7. นางแส 8. นางกุง

9. นายเลา 10. นายเลียบ 11. นางตา 12. นางผาด

 13. นายเขียว 14. นางยอดเฮือน 15. นายซอน 16. นายสิงห์

17. นายคํา 18. นายเถา

เมื่อทั้ง 72 คน ได้ทําการบูรณะก่อสร้างวัดพระเจ้าตาเขียวและได้ปรับพื้นที่ ให้เป็นที่งามหูงามตาม

เสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยใช้ระยะเวลาในการบูรณะก่อสร้าง ทั้งสิ้น เป็นเวลา 1 ปี 3 เดือน 17 วัน และหมู่คน

เหล่านี้ยังได้สร้างศาลาขึ้นมาหลังหนึ่ง โดยตัดเอาไม้ที่ได้แผ้วถาง (ปัดกวาด) ลงในคราวนั้น มาสร้างศาลาหลัง

นั้น มีความกว้าง 16 ศอก ยาว 16 ศอก และ ได้พร้อมใจใส่ชื่อศาลาหลังนี้ว่า “ศาลาทุกคตะ” (ทุกคตะ

หมายความว่าบุคคลผู้มีรูปร่างไม่ดีไม่งาม และไม่มีทรัพย์สิน แต่มีจิตใจดี จิตใจงาม) ศาลาหลังนี้ห่างจากตัว

พระพุทธรูปพระเจ้าตาเขียวไปทางด้านหลัง 6 ศอก ซึ่งปัจจุบันก็ไม่มีเหลือซากให้เห็นแล้ว เพราะได้เสื่อมไป

ตามกาลเวลา เมื่อการบูรณะ วัดและสร้างศาลา ทุกคตะ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็พร้อมใจกันจัดงานทําบุญ

ถวายทานศาลานั้น และในวันที่จะทําบุญนั้นพอดีได้มีพระธุดงค์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จํานวน 7 รูป ซึ่งได้

ทราบด้วยวิถีณาณว่าให้มาโปรดผู้คนเหล่านี้ จึงได้เดินทาง มารับถวายทานศาลา พระธุดงค์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติ

ชอบทั้ง 7 รูป มีชื่อว่าดังนี้

1. ครูบาก้อนแก้ว เมธังกะโร อยู่วัดจามเทวี จ.ลําพูน

2. ครูบากันทะวงค์ จันโทภาโส อยู่วัดพระยืน จ.ลําพูน เมื่อเวลา เข้าพรรษาท่านได้ธุดงค์ไปจําศีล

อยู่ม่อนหินเหล็กไฟ ซึ่งปัจจุบันนี้อยู่ทางทิศตะวันออก เฉียงใต้ของเมืองลําพูน คือ เป็นหมู่บ้านน้ําย้อยโป่งรู(ใน

ปัจจุบัน)

3. ครูบานันตา กตปุญโญ อยู่วัดลีเชียงพระ(คือวัดพระสิงห์ ในปัจจุบัน) จ.เชียงใหม่

4. ครูบาคําแสน คันธะวังโส อยู่วัดพระบาทมิ่งเมือง จ.แพร่

5. ครูบาอภิวงค์ อภิวังโส อยู่วัดพระธาตุแช่แห้ง จ.น่าน

6. ครูบาคําภีระ คําภีระปัญโญ อยู่วัดพระญาติ จ.อยุธยา

7. ครูบาศิริ ศิริจันโท อยู่วัดท้ายตลาด กทม.

พระสงฆ์แต่ละรูป ก็ได้อนุโมทนากับบุคคลเหล่านั้น ซึ่งแต่ละคนก็ได้ ตั้งอธิษฐานไว้ว่า “ด้วยบุญกุศล ที่

หมู่บ้าทั้งหลายได้ทําด้วยความสะอาดทั้งกาย วาจา ใจ และสิ่งของในครั้งนี้ขอให้เป็นพละวะปัจจัยเกิดมาใน

ชาติใด หากแม้นมีบุญ ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็ขอให้มีรูปพรรณสัณฐาน ที่งดงามกว่านี้ หรืองามดั่งองค์ พระเจ้าตา

เขียว และขอให้เจริญด้วยโภคทรัพย์สมบัติ และขอให้ได้มาพบมาเจอ พระพุทธศาสนา ได้มาทําบุญทําทาน ใน

พระพุทธศาสนาอีกจนถึงพระนิพพาน เป็นที่สุด”

แล้วทุกคนทั้ง 72 คน ก็ได้หยดน้ํา (กรวดน้ํา) กลางข่วงวัด (ลานวัด) ต่อหน้า พระเจ้าตาเขียวและพระ

เถระทั้ง 7 รูป นั้น แล้วได้บอกให้แม่พระธรณี และโลกทั้ง 3 รับรู้รับทราบไว้ด้วย

ดังนั้น บุคคลทั้ง 72 คน ก็ได้ถูกแรงบุญที่ได้ทําในครั้งนี้ได้ชัดเหวี่ยงไปตาม แรงบุญและกรรมของแต่

ละคน จึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ในชาตินี้ ทั้ง 72 คน โดย แต่ละคนมีชื่อว่าดังนี้

กลุ่มที่ 1 เกิดมาชาตินี้ชื่อว่า

ชื่อเดิม นางปาริชาติ สิมมานนท์ อยู่บ้านเลขที่ 600/992 หมู่บ้านสิวลี อ.ลําลูกกา

1. นางวาด จ.ปทุมธานี

นายวิเนต เรื่องเมธานพรัตน์ (ท่านท้าววนา พูดแล้วยิ้มๆ ผมไพศาล ได้พูด

2. นายดิน ต่อว่า “อ้อ เฮียวิเนต ผมรู้จักดี”)

นางกาญจนา แดงธรรมเวศน์ อยู่บ้านเลขที่ 59/13 ถ.สุริยาตร์ อ.เมือง

3. นางออน จ.อุบลราชธานี

นายประสิทธิ์ ขัณฑบันฑิต อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 5 ต.ผักไห่ อ.ผักไห่ จ.

4. นางแส อยุธยา

คุณเรืองศรี พูบวก อยู่บ้านเลขที่ 6 บ้านอีต้อม ต.คูณ อ.กัณทรารมย์

5. นายหมั่น จ.ศรีสะเกษ

นางเปรม แซ่อึ้ง

6. นายจีน นายหมาเชี้ยง แซ่อึ้ง

7. นายอุด

นายสมยศ เหลืองศรีกุล (ทั้ง 3 คนนี้ อยู่บ้านเดียวกัน คืออยู่บ้านเลขที่ 17

8. นายเนตร ถ.ศรีมาลา ซ.พรรณเชษฐ์ อ.เมือง จ.พิจิตร)

นายเพทาย จารัตน์ อยู่บ้านเลขที่ 116 ถ.โพธิ์ศรีสะอาด อ.ชนบท จ.

9. นางบุญ ขอนแก่น

นายวิโรจน์ หรือพิโรธ (ฟังไม่ชัด) อยู่บ้านเลขที่ 141 หมู่ที่ 8 ต.ท่าแค อ.

10. นายอุ่น เมือง จ.พัทลุง

คุณสมศรี มีแสง อยู่บ้านเลขที่ 101/1 ถ.ศาลาแดง อ.เมือง จ.ชุมพร

11. นายหลวง นายสุรพล ช่องบุดดา อยู่บ้านเลขที่ 37 บ้านฝาง อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น

12. นางเหรียญ นายสุรเชษฐ์ เรืองจันทร์

13. นายพาน นางพัชรี เรืองจันทร์ (ทั้ง 2 คนนี้ ได้เกิดมาร่วมกันแล้ว ต่อไปภายหน้า โลก

14. นายดี ทั้ง 3 จะดลบันดาลให้มาพบกัน ตัวข้าไม่ขอบอกที่อยู่ให้)

คุณกาญจนา บุญราศรี อยู่บ้านเลขที่ 5/2 หมู่ 4 ต.นาเตย อ.ท้ายเหมือง จ.

15. นายชม พังงา

นายมานิตย์ โสรี

16. นายพ่วง น.ส.ลาวัลย์ สาริสุต (ทั้ง 2 คนนี้ ข้าไม่บอกที่อยู่ให้เพราะต่อไป โลกทั้ง 3

17. นายหนู จะดลบันดาลให้มาพบกันเอง

นางวรรณี คลังโรจน์ศักดา(คนนี้ตัวข้า ก็ไม่ขอบอกที่อยู่เช่นกัน เพราะต่อไป

18. นางชุ่ม โลกทั้ง 3 จะดลบันดาลให้มาพบกัน)

กลุ่มที่ 2 เกิดมาชาตินี้ชื่อว่า

ชื่อเดิม

นายสุวัฒน์ ทรัพย์ประภา (ตัวข้า ไม่ขอบอกที่อยู่เพราะต่อไปภายหน้า โลก

1. นายแคล้ว ทั้ง 3 จะให้มาพบกัน)

2. นายแก้ว นายอวยชัย สุดยัง อยู่บ้านเลขที่ 1/1 หมู่ 5 ต.ยาง อ.น้ํายืน จ.อุบลราชธานี

3. นายพุ่ม นายวิวัฒน์ คลังโรจน์ศักดา (ตัวข้า ไม่ขอบอกที่อยู่ เพราะต่อไปภายหน้า

จะได้พบกัน)

4. นายไข่ นายศิริพงษ์ พิลึก

5. นายเหล่า นางศิริพร พิลึก (ทั้ง 2 คนนี้จะมาพบ กันในไม่ช้านี้ ข้าจึงไม่บอกที่อยู่ไว้)

6. นายแยง นายกวี พรหมบุญ

7. นางกี นายอัครเดช พรหมบุญ (ทั้ง 2 คนนี้ อยู่บ้านเลขที่ 96 ถ.จ่านกร้อง อ.เมือง

จ.พิษณุโลก เมื่อพบนายอัครเดชแล้ว จึงจะพบนายกวี)

8. นางขอด นายหยงฮ้อ แซ่เล้า (ต่อไปภายหน้า จะได้พบกัน ตัวข้าไม่บอกที่อยู่ให้)

9. นายเบี้ย (หลวง) นายสุรเทพ ตั้งจิตสมคิด (คนนี้ข้า ก็ไม่บอกที่อยู่เพราะต่อไปภายหน้า จะได้

พบกัน)

10. นางสร้อย นางอรพิน สุจชาลี อยู่บ้านเลขที่ 11 หมู่ 1 ต.หัวช้าง อ.จตุรพักตร์พิมาน

จ.ร้อยเอ็ด

11. นางงา คุณวีนัส สายหยุด อยู่บ้านเลขที่ 87หมู่ 8 ต.พนา อ.พนา จ.อุบลราชธานี

12. นางป่า นายเชียง คําพะธิก

13. นายกาย นางบุญมี คําพะธิก

14. นายเบี้ย (น้อย) นายกิตติศักดิ์ คําพะธิก (กฤษณะภักดี) (เมื่อพบนายกิตติศักดิ์ จึงจะรู้ที่อยู่

ของ นายเชียงและนางบุญมีเพราะทั้ง 3 คนนี้เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน)

15. นายเติม นายประเสริฐสุข เดชประสิทธิ์

16. นางขาง นายเพชรา เดชประสิทธิ์ (ทั้ง 2 คนนี้ โลกทั้ง 3 จะดลบันดาลให้มาพบกัน

ในไมช่ ้านี้)

17. นายเลี่ยม นายชัยพร เชยวัฒนา

18. นายบุ นางประนตพร เชยวัฒนา (ทั้ง 2 คนนี้ อยู่บ้านเลขที่ 51 ถ.สุขุมวิท 59 พระ

โขนง กรุงเทพฯ อ้อ” ทั้ง 2 คนนี้ผมรู้จักดี ไพศาลพูดขึ้นในใจ)

กลุ่มที่ 3 เกิดมาชาตินี้ชื่อว่า

ชื่อเดิม

นางรัชนีกร ชาติมนตรี อยู่บ้านเลขที่ 1/3หมู่ 7 ต.ยางชุมน้อยอ.ยางชุมน้อย

1. นายชั้น จ.ศรีสะเกษ

นายประยูร กิ่งมณี อยู่ที่บ้านบก อ.โนนคูณ จ.ศรีสะเกษ (ต่อไป จะพบกัน

2. นายใจ๋ หลังจากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป)

นายเถลิงพงษ์ ระดมสุข อยู่บ้านเลขที่ 551 หมู่ 7 ต.นอกเมือง อ.เมือง จ.

3. นางเสื้อ สุรินทร์

นายพิทักษ์ บุญยอ อยู่ที่โรงเรียนบัวงาม วิทยา อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี

4. นางหล้า นายสรวุฒิ ศรีเพชร อยู่บ้านเลขที่ 52 บ้านพงศ์พรต ต.หนองห้าง อ.อุทุมพร

5. นางเนตร พิสัย จ.ศรีสะเกษ

นายวีระ ดวงศรี อยู่บ้านเลขที่ 53/1 หมู่ 7 ต.ฝายใหญ่ อ.ศรีขรภูมิ จ.

6. นายโศก สุรินทร์

คุณดาวัลย์ สิทธิธรรมอยู่บ้านเลขที่ 421 ถ.สถลมาตร ซ.ภูธาสุวรรณบูรณ์

7. นางผัด อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานี

นายสุกิจ ทฤษฎีรักษ์ (ตัวข้าท้าววนาฯ ไม่ขอบอกที่อยู่ เพราะต่อไปภาย

8. นายทรง หน้า จะได้พบกันเอง)

นายยลทอง ศรีมงคล

9. นายบุญ นางทองคํา ศรีมงคล

10. นายมุด นายจ่าย ศรีมงคล (ทั้ง 3 คนนี้ อยู่บ้านเลขที่ 100 ถ.ส่งศรี ซ.5 อ.เดชอุดม

11. นายกาบ จ.อุบลราชธานี ถ้าอยากรู้ว่าเขาเป็นอะไรกัน ให้ไปถามเขาเอาเอง) 12. นาง

ชุมนางหลง ศรีสงคราม

13. นางก้อ นายสมชาย ศรีสงคราม

14. นายระ นายทองคํา ศรีสงคราม (ทั้ง 3 คนนี้ อยู่บ้านเลขที่ 731 ถ.พหลโยธิน อ.โคก

สําโรง จ.ลพบุรี

15. นายแดง นายพงศ์อินทร์ ณ ลําพูน (คนนี้ เป็นคนเชียงใหม่ ท่านท้าววนาฯพูดแล้ว

หัวเราะเสียงดังลั่น)

16. นายขัน นายสุเมธ เขตวัฒนา (คนนี้ข้าจะ ไม่ขอบอกที่อยู่เพราะต่อไปภายหน้าโลก

ทั้ง 3 จะดลบันดาลให้ได้พบกัน)

17. นายลาด นางนิตยา พรหมพญากุล (คนนี้ข้าไม่บอกที่อยู่ เพราะต่อไปจะได้พบกัน)

18. นางเดิม คุณรัชนี ธรรมสัตย์ อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่ 1 ต.สร้างมิ่ง อ.เลิงนกทา จ.

ยโสธร

กลุ่มที่ 4 เกิดมาชาตินี้ชื่อว่า

ชื่อเดิม

นางผูก วนิชชาคม

1. นางจา นายณรงค์ วนิชชาคม

2. นางสี นายนเรศ วนิชชาคม (ทั้ง 3 คนนี้ อยู่บ้านเลขที่ 94/2 หมู่ 5 ต.บางเขน

3. นายชู อ.บางเขน กทม.)

นายจําเริญ ภูสอดศรี อยู่บ้านเลขที่ 14 หมู่9 ต.หัวนาคํา อ.ยางตลาดจ.

4. นายเงา กาฬสินธุ์

นายวุฒิศักดิ์ชุ่มกระโทก อยู่บ้านเลขที่ 169/7 บ้านดอนเกตุ ต.ทุ่งอรุณ อ.

5. นายจันทร์ โชคชัย จ.นครราชสีมา

นางเตือนจิต สุขถนอม

6. นายเปลี่ยน นายดุสิต สุขถนอม

7. นางแส นายปิยะวัตร สุขถนอม (ทั้ง 3 คนนี้ อยู่บ้านเลขที่ 112 หมู่ 1 ต.บางศรี

8. นางกุง เมือง อ.เมือง จ.นนทบุรี

นายมงคล ศรีรัตน์

9. นายเลา นางช้อย ศรีรัตน์

10. นายเลียบ นายวิชัย ศรีรัตน์ (ทั้ง 3 คนนี้ อยู่บ้านเลขที่ 68 ถ.ติวานนท์ ซ.เรวดี 3 ต.

11. นางตา ตลาดขวัญ อ.เมือง จ.นนทบุรี)

นางมาลี ศิลปโอฬารกุล

12. นางผาด นายบุรุษ ศิลปโอฬารกุล (ทั้ง 2 คนนี้ จะได้พบกันในภายหน้า ตัวข้า (ท้าว

13. นายเขียว วนาง) ไม่ขอบอกที่อยู่)

เฮือนนายอุ้ยป๋อ แซ่ตั้ง (เมื่อชาติก่อนนี้ เป็นคนตัวเล็กไม่สมประกอบ ได้

14. นางยอด อธิษฐานจิตขอพรให้มีรูปร่าง สูงใหญ่สมส่วนและให้ไปเกิดไกล ๆ เพราะ

ชาตินี้มีแต่คนเกลียดชัง มีแต่ คนเสือกไสไล่ส่งไปหาใคร ไม่มีใคร ต้อนรับ

15. นายซอน คนนี้ต่อไปจะได้พบกันเอง โดยโลกทั้ง 3 จะดลบันดาลให้มาพบ กันภาย

16. นายสิงห์ หน้านี้)

นายสุรชัย เชื่อเล็ก

17. นายคํา นายประพันธ์ โสภณศิริทรัพย์ (ทั้ง 2 คนนี้โลกทั้ง 3 จะดลบันดาลให้มาพบ

18. นายถา กันเอง ไม่บอกทอี่ ยู่ให้)

นายสมชาย พรหมพญากุล (คนนี้ไม่ขอบอกที่อยู่ให้เพราะต่อไปจะได้รู้จัก)

นายเกียรติอนันต์ ศิลปโอฬารกุล (คนทั้งหมดนี้จะได้พบกันในภายภาคหน้า)

 ส่วนพระธุดงค์ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ทั้ง 7 รูปนั้น มีชื่อต่าง ๆ ดังนี้

1. ครูบาก้อนแก้ว เมธังกะโร

เกิดมาชาตินี้มีชื่อว่า สาธุเจ้าผล อะกะโชติ ปัจจุบันอยู่ที่วัดเวตะวัน ธรรมาวาส (เชิงหวาย) เขตบางซื่อ

กรุงเทพฯ

2. ครูบากันทะวงศ์ จันโทภาโส

เกิดมาชาตินี้มีชื่อว่า สาธเจ้า ชมธรรมมะธีโร ปัจจุบันอยู่วัดมหาธาตุ จ.นครพนม

3. ครูบานันตา กตปุญโญ

เกิดมาชาตินี้มีชื่อว่า สาธุเจ้าชั้น กิตติวัณโณ ปัจจุบันอยู่วัดวังตะกู อ.เมือง จ.นครปฐม

4. ครูบาคําแสน คันธะวังโส

เกิดมาชาตินี้มีชื่อว่า สาธุเจ้ามานิตย์ถาวโร ปัจจุบันอยู่วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ

5. ครูบาอภิวงค์ อภิวังโส

เกิดมาชาตินี้มีชื่อว่า สาธุเจ้า สุจีกตสาโร ปัจจุบันอยู่วัดพระบาทมิ่งเมือง จ.แพร่

6. ครูบาคําภีระ คําภีระปัญโญ

เกิดมาชาตินี้มีชื่อว่า สาธุเจ้า วิลาศญาณวโร ปัจจุบันอยู่วัดยานนาวา กรุงเทพฯ

7. ครูบาศิริ ศิริจันโท

เกิดมาชาตินี้มีชื่อว่า สาธุเจ้าประดับ โอภาโส ปัจจุบันอยู่วัดมหาธาตุ จ.นครศรีธรรมราช

เมื่อพูดจบแล้ว ท่านท้าววนาประกาพรหม ได้พูดเป็นทํานองขอร้องว่า ให้ไพศาล เมื่อพบบุคคลต่าง ๆ

เหล่านี้แล้ว ก็ขอบอกให้หมู่คนเหล่านี้หมั่นทําบุญ ทําทาน รักษาศีล 5 ศีล 3 ศีล 227 ข้อ ให้สม่ําเสมอ อย่าให้

ศีลขาดไป โดยเฉพาะศีล ข้อที่ 1 ให้หมั่นทําบุญกับพระอริยะสงฆ์ อย่าได้ประมาทในชีวิตแล้วทุกคนจะได้ เกิด

มาในชาติหน้า จะได้ชื่อว่าดังนี้………………………. (หากบุคคลใดที่รายชื่อ เกี่ยวข้องในเรื่อง มีความสนใจก็ให้

ติดต่อกับข้าพเจ้านายไพศาล แสนไชย เป็นการ ส่วนตัว และจะพิจารณาบอกเป็นรายๆ ไป จากนั้นท่านท้าว

วนาฯ ก็ได้พูดว่า)

“เรื่องที่เล่ามานี้ จะเปิดเผยให้โลกมนุษย์ได้รับรู้รับทราบ นับจากนี้ไปไม่เกิน 3 ปี ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นจะ

มีนายเบี้ย(น้อย) หรือนายกิตติศักดิ์ คําพะธิก มาหาที่บ้าน มาพบพูดคุยกันก่อน แล้วจึงให้เปิดเผยได้” ท่านท้าว

วนาฯ ได้พูดถึงตอนนี้ ก็ได้ กล่าวคํากับท่านครูบาคันธา ท่านครูบาคันธาได้หันมาพูดกับผมว่า “ที่ท่านท้าววนา

ฯ ได้เล่ามานี้จําได้ไหม” ตัวข้าพเจ้าก็ตอบว่า “จําได้” ท่านครูบาและท้านพญาพิงคราช จึงได้หัวเราะขึ้น และ

ท่านท้าววนาฯ ได้พูดขึ้นอีกว่า “ เออ นี่นะไพศาล ก่อนที่จะพบ นายกิตติศักดิ์ คําพะธิกนี้ จะพบกับนายอุ้ยป่อ

ก่อนเน้อ”

“ขอจําไว้ให้ดี เมื่อพบนายอุ้ยป่อแล้ว อีกไม่นาน (นาน) เท่าไร ก็จะพบกับ นายกิตติศักดิ์ ดําพะธิก ตัว

ข้า(ท้าววนาฯ) ขอฝากนายกิตติศักดิ์ ดาํ พะธิก หรือนายเบี้ย(น้อย) ด้วยขอให้คแลด้วย”

ไพศาลก็ได้ถามท่านท้าววนาฯ ว่า “เออ เขาเป็นเด็กน้อยหรือ อายุได้กี่ขวบ แล้ว”

 ท่านท้าววนาฯ หัวเราะแล้วบอกว่า “อายุได้ 1 ขวบ เมื่อ 30 กว่าปี (ในโลก มนุษย์) มาแล้ว”

ไพศาล พูดว่า “เออ อย่างนั้นนายคนนี้ก็อายุ 30 ปีแล้วนะ” ท่านท้าววนาฯ ตอบว่า “ใช่แล้ว”

ไพศาลก็ได้ถามท่านท้าววนางว่า “อายุตั้ง 30 ปีแล้ว ผมจะดูแลเขาได้อย่างไร เดี๋ยวเขาจะตีผมจะว่า

อย่างไร”

ท่านท้าววนาฯ จึงพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรหรอกเขาไม่ดีแน่ ตัวข้าฯ เป็นห่วง คนนี้มาก ทั้ง 72 คนนี้ที่เกิด

มาในครั้งนี้ ข้าฯ เป็นห่วงนายคนนี้มาก เพราะนายกิตติศักดิ์คําพะธิก เมื่อพ้นจากวาระกรรมซึ่งเป็นเสี้ยนกรรม

นี้ไปแล้ว จะเป็นกําลัง ในพุทธศาสนาของเราคนหนึ่ง โดยเฉพาะพระเจ้าตาเขียว ขอให้สู(ไพศาล) ช่วย

พิจารณาดูแลด้วยเตอะ (เถอะ) ว่าจะช่วยด้านกาย วาจา ใจ อย่างไร สู(ไพศาล) รับปากข้าได้ไหม” ไพศาลจึง

พูดขึ้นว่า “ถ้าเขาไม่สวก ดุ) ผมก็รับปาก” “ดีแล้ว” ท่านท้าววนาฯ พูดพร้อมกับยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย แล้ว

กล่าวขอบคุณกับไพศาล

“ยังไงๆ ก็ขอฝาก อย่าได้ละทิ้งเน้อ(นะ)” ท่านท้าววนาฯ พูดสําทับมา และมี น้ําตาคลอเบ้าตา

เล็กน้อย เมื่อไพศาลรับปากว่าจะดูแลให้ ทั้งนี้เนื่องจากว่าท่าน ท้าววนาฯ มีความสงสารนายกิตติศักดิ์ และปิติ

ยินดีที่ไพศาลรับปากว่าจะดูแลให้

จากนั้นท่านท้าววนาฯ ท่านครูบาคันธา, ท่านพญาพิงคราช พร้อมทั้งผม (นายไพศาล) ก็ได้กล่าวลากัน

ที่ตรงนั้น แล้วท่านครูบาคันธา และท่านพญาพิงคราช ก็ได้พาผมกลับมาในลักษณะปลิวลงมาถึงที่ไหนก็ไม่รู้ จึง

ได้ตื่นนอน ซึ่งเป็นเวลา ตี 5.30 น. ของวันที่ 10 เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2535

นิมิตเรื่องพระเจ้าตาเขียวนี้ เมื่อผมได้รับทราบเรื่องราวนี้ผมก็ได้จดจําไว้ โดยไม่ได้บอกให้ใครรู้จนถึง

เวลาที่ได้พบกับนายอุ้ยป่อและนายกิตติศักดิ์ ดําพะธิก เมื่อประมาณเดือนกันยายน 2537 ผมจึงได้เริ่มหาเวลา

เขียนเชิงบันทึกเรื่องราว ให้ผู้สนใจได้รับรู้รับทราบตามนี้ เพราะถ้าหากว่าผมไม่เปิดเผยให้คนได้ทราบก็เกรงว่า

จะเป็นการผิดคําพูดที่ให้สัญญาไว้ และจะเป็นอันตรายต่อข้าพเจ้า (นายไพศาล)

มังคะลัง นิมิตตัง กล่าวยังนิมิตความฝันก็จบเท่านี้ก่อนแล

เขียนเชิงบันทึก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2537

เสร็จเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2557 เวลา 12.00 น

บันทึกรายละเอียดท้ายเล่ม

1. นายวิเนต เรืองเมธานนพรัตน์

(กลุ่มที่ 1 ลําดับที่ 2) ปัจจุบัน 2537 เป็นเจ้าของร้านนานาภัณฑ์ (นานาภัณฑ์ ซิลเวอร์) อยู่ อ.สันกําแพง จ.

เชียงใหม่ และเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้เข้าใจถึงกฎแห่ง กรรมดี เพราะว่าได้ประสบกับตนเอง ถ้าผู้อ่านอยากทราบ

ว่าได้ประสบวิบากกรรม อย่างไรให้ติดต่อสอบถามไปที่ (053) 338534, 338519

2. นายสุรเชษฐ์ – นางพัชรี เรืองจันทร์

(กลุ่มที่ 1 ลําดับที่ 13 และ 14) ปัจจุบันทําธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่ จ.เชียงใหม่

3. นายมานิตย์ โสรี น.ส.ลาวัลย์ สาลิสุต

(กลุ่มที่ 1 ลําดับที่ 17,18) ปัจจุบัน เป็นนักธุรกิจขนาดย่อมอยู่ที่กรุงเทพฯ

4. นายสุวัฒน์ ทรัพย์ประภา

(กลุ่มที่ 2 ลําดับที่ 1 ) ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 183/6 หมู่ 3 แขวงหลังสอง เขตคลองแขม กรุงเทพฯ 10160 เป็น

เจ้าของห้างหุ้นส่วนจํากัด สวัฒน์เคมี

5. นายศิริพงษ์ – นางศิริพร พิลึก

(กลุ่มที่ 2 ลําดับที่ 4-5) ปัจจุบันเป็นครูอยู่ที่กรุงเทพฯ

6. นายสุรเทพ ตั้งจิตสมคิด

(กลุ่มที่ 2 ลําดับที่ 9) ปัจจุบันทํางานฝ่ายวิศวกรรม สํานักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม กรุงเทพฯ

7. นายเชียง คําพะธิก, นางบุญมี คําพะธิก,

(กลุ่มที่ 2 ลําดับที่ 12,13,14) ปัจจุบัน 2537 นายกิตติศักดิ์ คําพะธิก นายเชียงและนางบุญมี ดําพะธิก มีอาชีพ

ทํานาอยู่บ้านโพธิ์ใหญ่ อ.วารินชําราบ จ.อุบลราชธานีส่วนกิตติศักดิ์ ปัจจุบัน อยู่บ้านเลขที่ 326/19 หมู่บ้าน

อุษาฟ้าฮ่าม ต.เจริญราษฎร์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ โทรศัพท์ 053-306176 ปัจจุบันเป็นผู้จัดการ บริษัท R.B.

เชียงใหม่ นายกิตติศักดิ์ คําพะธิก ตามที่ผมได้พูดคุยแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นกันเป็นบุคคลที่มีหน้าตาดี มี

อัธยาศัยดีต่อทุกคนที่พูดคุยด้วย ถ้าใคร มีโอกาสได้พูดคุยกับนายคนนี้ก็เชิญพูด เรื่องธรรมมะกันได้นะครับและ

ผม (นายไพศาล) เจ้าของนิมิตรเรื่องนี้ก็ขอฝาก นายกิตติศักดิ์ ดําพะธิก เป็นลูกหลานหรือ ญาติธรรมของท่าน

ทั้งหลายที่ได้อ่านเรื่องนี้ ด้วยนะครับและขอขอบพระคุณล่วงหน้า ไว้ ณ ที่นี้ด้วย

8. นายประเสริฐสุข – นางเพชรา เดชประสิทธิ์

(กลุ่มที่ 2 ลําดับที่ 15,16) ปัจจุบัน 2537 นายสุข เดชประสิทธิ์ มีอาชีพทํางาน ธนาคาร เป็นผู้จัดการ

ธนาคารกรุงเทพ จํากัด สาขาสันป่าตอง และนางเพชรา เดชประสิทธิ์ เป็นพนักงานธนาคาร กรุงเทพ

จํากัด สาขาถนนช้างคลาน จ.เชียงใหม่

9. นายชัยพร เชยวัฒนา -นางประนตพร เชยพัฒนา

(กลุ่มที่2 ลําดับที่ 17,18) ปัจจุบันเป็นหัวหน้า ผู้แสวงบุญอยู่ที่ อ.พระโขนง กรุงเทพฯ

10. นายสุกิจ ทฤษฎีรักษ์

(กลุ่มที่ 3 ลําดับที่  ปัจจุบัน 2537 เป็นนักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างอยู่ร้าน สินสุดาพาณิชย์ จ.ลําพูน

 11. นายพงศ์อินทร์ ณ ลำ พูน

(กลุ่มที่ 3 ลําดับที่ 15) ปัจจุบัน 2537 ทําธุรกิจโดยมีเตาเผาอิฐ อยู่ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่

12. นางมาลีศิลปโอฬารกุล – นายบุรุษ

(กลุ่มที่ 4 ลําดับที่ 12,13,15 ตามลําดับ) ศิลป โอฬารกุล และนายสุรชัย เชื่อเล็ก ทําธุรกิจส่วนตัวอยู่ที่

กรุงเทพฯ

13. นายประพนธ์ โสภณศิริทรัพย์

(กลุ่มที่ 4 ลําดับที่ 16) ทําธุรกิจส่วนตัว อยู่ที่กรุงเทพฯ

14. นายสมชาย พรหมพญากุล

(กลุ่มที่ 4 ลําดับที่ 17) ปัจจุบันอยู่บ้านเลขที่ 315/7-8 ซ.จอมสมบูรณ์ สะพานเหมือง ถ.พระราม 4 บางรัก

กทม. มีอาชีพค้าขาย

15. นายอัยป่อ แซ่ตั้ง

(กลุ่มที่ 4 ลําดับที่ 14) เป็นคนเมืองจีน เกิดที่เมืองแต้จิ๋ว และเป็นญาติของ นายสมชาย พรหมพญากุล ปัจจุบัน

2537 อายุได้ 24 ปี มีสถานภาพเป็นโสด ฯลฯ